อันหนึ่งเข้าฌานให้ได้ ซึ่งเรายุคนี้เล่นยาก ถ้าได้ถึงฌานที่ 2 ตัวผู้รู้จะเด่นดวงขึ้นมาเลย แล้วยิ่งฌานสูงขึ้นๆ ตัวรู้ก็ยิ่งแข็งแรง เวลาออกจากฌานมา ตัวรู้จะเด่นดวงอยู่ได้หลายวัน ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องรักษา แต่พวกเราทำฌานไม่เป็น ก็ใช้อีกวิธี อาศัยสติรู้ทันความปรุงแต่งของใจตัวเอง รู้มันไปเรื่อยๆ รู้ทันความปรุงแต่งของกายก็ได้ ร่างกายหายใจออกรู้สึก ร่างกายหายใจเข้ารู้สึก แล้วพอมันหลงลืมที่จะรู้ร่างกาย เราเคยฝึกที่จะรู้สึก ร่างกายหายใจออกหายใจเข้า พอมันหลงลืมร่างกายแป๊บเดียว มันก็จะกลับมารู้สึกได้ สภาวะอะไรก็ได้ ถ้าเรารู้ร่างกายหายใจออก ร่างกายหายใจเข้า พอเราลืม หลงไปแล้วก็จังหวะการหายใจเปลี่ยน สติจะเกิดเองเลย จิตจะรู้ตัวขึ้นมา ตื่นขึ้นมา หรือจิตใจเรา เราเคยอ่าน มันสุขบ้าง มันทุกข์บ้าง เฉยๆ บ้าง เรารู้ทันความปรุงแต่งที่มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ พอเราหลง จิตมีความทุกข์ขึ้นมา ทุกข์ดูง่ายกว่าสุข อย่างดูเวทนา ทุกข์มันดูง่ายกว่าสุข เฉยๆ ดูยากที่สุดเลย ฉะนั้นทีแรกเราจะเห็นทุกข์ก่อน พอใจเราทุกข์ขึ้นมา มันแน่นๆ ขึ้นมา ก็มีสติรู้ทัน เราเคยดูความทุกข์ความสุขของจิตใจชำนาญ พอโกรธปุ๊บ ใจมันมีความทุกข์ขึ้นมาแล้ว มันก็จะเห็น มีสติรู้ทันขึ้นมา ทันทีที่รู้ว่ามีความทุกข์ จิตจะดีดผางขึ้นมา ตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้เลย ส่วนที่ครูบาอาจารย์สอน ส่วนใหญ่ให้ดูหลง เพราะหลงนั้นเกิดบ่อยที่สุด ถลำลงไปเพ่งไปจ้องภายใน อารมณ์กรรมฐานบ้าง อะไรที่แปลกปลอมไหวๆ ขึ้นข้างในบ้าง จิตไหลไปเพ่งไปจ้อง รู้ทัน ตรงที่เรารู้ทันจิตที่ไหลไปไหลมา รู้ทันหลงแล้ว จิตจะดีดผางขึ้นมาเป็นผู้รู้ พอมีจิตเป็นผู้รู้ คราวนี้การภาวนาจะง่ายแล้ว หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 23 มีนาคม 2567